top of page

จริงหรือไม่? โปรตีนในเลือด ทำให้เราสวยขึ้นได้

ใครจะไปรู้โลกยุคปัจจุบันจะนำเลือด

มาใช้ประโยชน์ด้านความสวยความงาม

PRP สวยด้วยเลือด เลือดของเรามีหน้าที่สำคัญต่อทุกระบบในร่างกาย

ใครจะไปรู้โลกยุคปัจจุบันจะนำเลือด

มาใช้ประโยชน์ด้านความสวยความงาม

เพราะว่าในเลือดเรานั้น มีสารสำคัญ

อย่าง Growth Factors ที่ถือว่าเป็นโปรตีน

ที่สำคัญต่อการทำงาน ฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์

ทุกส่วนในร่างกาย แล้ว “Growth Factors”

นี้คืออะไร มีความสำคัญขนาดไหน

วันนี้เกร็ดความรู้ คู่โมเดลล่า

พร้อมนำทุกท่านเข้าไปทำความรู้จักกับ โกรทแฟคเตอร์ จะดีต่อผิว และความงามอย่างไร

พร้อมแล้วไปดูพร้อมกันได้เลย ค่ะ


สวย หล่อ 🧑‍ อย่างปลอดภัย

มั่นใจได้ที่ Modella Clinic


สวยครบ จบที่โมเดลล่าคลินิก





คุณรู้จักเลือด ดีแค่ไหน?

เลือด เป็นของเหลวชนิดหนึ่งในร่างกาย ประกอบด้วย น้ำเลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว ร่างกายเรามีเลือดอยู่ประมาณ 5 ลิตรหรือคิดเทียบกับน้ำหนักตัวเท่ากับร้อยละ 7-8 ของน้ำหนักตัว

ส่วนประกอบของเลือดต่างๆ มีดังนี้

1. น้ำเลือด (พลาสมา)

น้ำเลือดหรือพลาสมา เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่มีอยู่ร้อยละ 55 ของเลือดทั้งหมดมีสภาวะเป็นเบส ค่าพีเอช 7.4 ประกอบด้วย

น้ำ 91% สารอื่น ๆ เช่น โปรตีน 7% วิตามิน เกลือแร่ เอนไซม์ ฮอร์โมน ก๊าซ 2%

มีหน้าที่ช่วยขนส่งโปรตีนและฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ไปยังอวัยวะที่เป็นเป้าหมาย รวมถึงยังรับของเสียที่แต่ละเซลล์ปล่อยออกมาเพื่อนำไปกำจัดที่ตับและขับออกทางปัสสาวะ ผิวหนัง และ ปอด

นอกจากนั้นก็ยังมีแอนตี้บอดี้ สารช่วยในการแข็งตัวของเลือดอีกด้วย


2. เซลล์เม็ดเลือด

เซลล์เม็ดเลือดแดง (มีอายุ 110-120 วัน) ถูกสร้างมาจากไขกระดูก ตับ ม้าม

มีหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้จากปอดไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย โดยอาศัยฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นตัวนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่างๆ และพาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์เพื่อกำจัดออกจากร่างกายในกระบวนการต่อไป การขาดเม็ดเลือดแดงจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ ดังนั้น เม็ดเลือดแดงจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการนำไปรักษาผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรืออาการซีดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เช่น โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาการไหลเวียนของเลือดย่อมทำให้อวัยวะต่างๆขาดสารอาหาร และได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้อีกหลายโรค

เซลล์เม็ดเลือดขาว (มีอายุ 7-14 วัน) มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกัน เปรียบเสมือนเป็นกองทัพทหารที่คอยป้องกันการรุกล้ำจากสิ่งแปลกปลอมทุกชนิด ซึ่งมันจะคอยทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมให้แก่ร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาวแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ

Neutrophil (นิวโทรฟิล) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราและจุลชีพอื่นๆที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย เม็ดเลือดขาวชนิดนี้เป็นเหมือนด่านแรกของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหากร่างกายได้รับเชื้อโรค ซึ่งถ้ามีการทำงานหรือเกิดการตายขึ้นจะแสดงออกมาในรูปของหนอง

Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) มีหน้าที่ต้านสิ่งแปลกปลอม เช่น ไวรัสที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้

Monocytes (โมโนไซต์) มีหน้าที่คล้ายคลึงกับ Neutrophil สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และยีสต์ได้

Basophils (บาสโซฟิลส์) มีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาภูมิแพ้ และสามารถหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรง

Eosinophils (อีโอซินโนฟิลส์) ทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์หรือสารฮีสตามีน (Histamine) เพื่อทำลายพวกพยาธิ (parasite) ต่างๆ และจะตอบสนองเพิ่มขึ้นเมื่อมีพยาธิต่างๆ หรือเป็นโรคภูมิแพ้


3. เกล็ดเลือด

เกล็ดเลือดไม่ใช่เซลล์ แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ รูปร่างไม่แน่นอน มีขนาดเล็ก ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 3-4 วัน ถูกสร้างมาจากไขกระดูก มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง โดยจะรวมตัวเป็นกระจุก (Platelet plug) อุดตรงบริเวณที่มีหลอดเลือดฉีกขาด เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อเรามีบาดแผลที่ผิวหนัง เมื่อเรากดแผลไว้สักครู่เลือดจะหยุดไหลได้นั่นเป็นเพราะเกล็ดเลือดได้ทำหน้าที่มาอุดบริเวณบาดแผลนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในกลไกการแข็งตัวของเลือด โดยเป็นปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (platelet factors I, II, III และ IV) อีกด้วย

หน้าที่อื่นนอกจากนี้คือ การนำสารต่างๆไปกับตัวเกล็ดเลือดด้วย คือ สารซีโรโทนิน (serotonin) สารอะดรีนาลีน (adrenaline) และนอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline) เกล็ดเลือดสามารถหลั่งสารที่เป็นปัจจัยในการเติบโต (platelet-released growth factors) เหนี่ยวนำให้เกิดสารต้านจุลชีพ และยังพบอีกว่า เกล็ดเลือดสามารถจับมวลสารขนาดเล็ก เช่น ไวรัสได้ด้วย ดังนั้น เกล็ดเลือดจึงมีความสำคัญในการต่อต้านเชื้อโรคด้วย


หน้าที่สำคัญของเลือด

"เลือด" เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดเลือดไปทั่วทุกซอก ทุกมุมในร่างกาย โดยสูบฉีดจากหัวใจที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เกิดจนตายทำหน้าที่สำคัญ คือ

1. ขนส่งก๊าซออกซิเจนจากการหายใจเข้า และลำเลียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายเมื่อหายใจออก

2. ขนส่งสารอาหารโดยการดูดซึมสารอาหารจากกระเพาะอาหาร และลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดแล้วไหลเวียนผ่านไปยังตับ และส่งต่อให้เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกอวัยวะในร่างกาย

3. ทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในเวลาที่ร่างกายขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ที่จำเป็น เลือดจะทำหน้าที่รักษาสมดุลไม่ให้มีมากไปหรือน้อยไป

4. ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่โดยการไหลเวียนไปทั่วร่างกาย





PRP หรือ Platelet-Rich Plasma คืออะไร?

PRP หรือ Platelet-Rich Plasma คืออะไร


คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ ด้วยการนำเอาเลือดของคนไข้เองมารักษา การรักษาแบบ PRP นี้ มีใช้อยู่แล้วในทางทันตกรรมและศัลยกรรมกระดูก ซึ่งเลือดจะประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และส่วนของเหลว ที่เรียกกันว่า “พลาสมา” ส่วนสำคัญของกระบวนการรักษา

ในการทำ PRP (PLATELET RICH PLASMA) ก็คือ การนำเลือดของตัวเองมาปั่นเพื่อแยกชั้นของพลาสมา(Plasma) ซึ่งมีลักษณะเป็นสีเหลืองใสออกมา และในพลาสม่าประกอบด้วยเกล็ดเลือด แพทย์จะสกัดเอาเกล็ดเลือดจากชั้นที่มีความเข้มข้นสูงที่สุดมาใช้ในการบำบัดและฟื้นฟูสภาพเซลล์ผิว เพราะในเกล็ดเลือดสามารถนำมากระตุ้นให้ปลดปล่อย Growth Factors ด้วยแสง NIR (Near Infrared) หรือ สารเคมีอย่าง CaCl2 ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน กระตุ้นการเติบโตและการแบ่งเซลล์ของผิวหนัง ช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยดำ รอยแผลเป็นและรอยสิว ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ขึ้น พร้อมทั้งช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นด้วย





Growth Factor คืออะไร สำคัญอย่างไร?


โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) คือสารธรรมชาติที่เซลล์ใช้สื่อสารระหว่างกัน สามารถกระตุ้น ให้เซลล์มีการเพิ่มจำนวน กระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโต การซ่อมแซม และการเปลี่ยนไปเป็นเซลล์เฉพาะ โกรทแฟคเตอร์นั้นออกฤทธิ์ผ่านตัวรับบนเซลล์ (Receptor) แล้วทำให้เกิดการส่งสัญญาณ (Cell Signalling) และการเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์ (Cellular Response) หากเซลล์ไม่มีตัวรับ โกรทแฟคเตอร์ก็จะไม่สามารถทำงานได้ โกรทแฟคเตอร์ในธรรมชาติมีมากมายหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีฤทธิ์ มีความจำเพาะ ต่อเซลล์ หรืออวัยวะ ที่แตกต่างกัน เช่น


Transforming Growth Factor Beta (TGF-b) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และหลอดเลือด

Transforming Growth Factor-Alpha (TGF-a) กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

Epidermal Growth Factor (EGF) กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาส และเซลล์ใหม่ ทดแทนเซลล์ที่สึกเหรอ

Vascular Endothelial Growth Factor (VEGF) กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดไปเลี้ยงผิว กระตุ้นรากผมให้มีการงอกใหม่และผมดกหนาขึ้น

Hepatocyte Growth Factor (HGF) กระตุ้นการสร้างหลอดเลือด และเซลล์ผิว

Keratinocyte Growth Factor (KGF) กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

Basic Fibroblast Growth Factor (bFGF) กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสสร้างคอลลาเจน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่หนังศีรษะ

Insulin-Like Growth Factor 1 (IGF1) กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และคอลลาเจน

Platelet-Derived Growth Factor AA (PDGF-AA) กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิว คอลลาเจน และหลอดเลือด

Transforming Growth Factor (TGF-B2& B3) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

Tumour Necrosis Factor (TNF) เพิ่มจำนวนเซลล์ไฟโบรบลาส

Connective Tissue Growth Factor (CTGF) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อผิว





PRP ช่วยอะไรบ้างในร่างกาย?

PRP ช่วยอะไรบ้างในร่างกาย


1.ผิวหน้าและริ้วรอยบนร่างกาย

การใช้ PRP ยังนำมาใช้ในการฟื้นฟูผิวพรรณและความงามได้ด้วย Growth Factor : PDGF, TFG-Beta มีส่วนในการกระตุ้น Fibroblast เพิ่มกระบวนการการสร้างคอลลาเจนอันที่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผิวพรรณ กระจ่างใส ดูอ่อนวัยขึ้น

- ช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ดูตื้นขึ้น รวมทั้งลดจุดด่างดำบนใบหน้า

-เร่งการซ่อมแซมและทำให้หลุมสิวสิวดูตื้นขึ้น

-ช่วยให้ผิวดึงกระชับ เรียบ เนียนและอ่อนนุ่ม

-ช่วยรักษารอยแตกลาย ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง


2.ลดและฟื้นฟูเส้นผม

เมื่อเรานำเลือดมาปั่นด้วยแรงที่เหมาะสมจะกระตุ้นให้เกล็ดเลือดทำงานและหลั่งสารฟื้นฟูที่เรียกว่า Growth Factors นานาชนิดออกมา ซึ่ง Growth Factors นี้จะช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ช่วยให้ผมดกดำ บำรุงหนังศีรษะ ช่วยให้รากผมแข็งแรง


3.ช่วยลดอาการโรคข้อเข่าเสื่อมและไขข้ออักเสบ-เส้นเอ็นต่างๆ

เมื่อเรานำเลือดมาปั่นแรงที่เหมาะสมจะกระตุ้นให้เกล็ดเลือดทำงานจะปลดปล่อย Growth factor เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมเอ็นและกระดูกอ่อนตามธรรมชาติ เช่น

-ข้อเข่าเสื่อมและอักเสบ

-ข้อสะโพกเสื่อมและอักเสบ

-กระดูกสันหลังส่วนคอและเอวเสื่อม

-เส้นเอ็นอักเสบ





เตรียมตัวก่อนทำ PRP

การเตรียมตัวก่อนทำ PRP


1. ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง

2. งดอาหารเสริม วิตามิน หรือยาในกลุ่มต้านเกล็ดเลือด ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่จำเป็นต้องทานเป็นประจำ ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบ

3. งดอาหารที่มีไขมันสูง อย่างน้อย 3 วันก่อนการรักษา

4. ควรดื่มน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร

5. ควรงดแอลกอฮอล์ บุหรี่ อย่างน้อยก่อนทำ ประมาณ 1 สัปดาห์





ดูแลตัวเองหลังทำ PRP

การดูแลตัวเองหลังทำ PRP


1. งดโดนน้ำบริเวณที่รักษา 6 ชั่วโมงแรก

2. งดการออกกำลังกายอย่างหนัก 2 วัน

3. งดการอบไอน้ำ ซาวน่า 1 สัปดาห์

4. ทาครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ให้หลีกเลี่ยงการทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA BHA หรือสาร Whitening

5. หลีกเลี่ยงบริเวณที่ร้อนจัดและแสงแดด ประมาณ 2 วัน

6. งดแต่งหน้าอย่างน้อย 6 ชั่วโมง (กรณีรักษาบริเวณใบหน้า)

7. งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 2 วัน

8. หลังรับการรักษาให้ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังรับบริการ





กลุ่มเสี่ยงที่ห้ามทำ PRP

กลุ่มเสี่ยงที่ห้ามทำ PRP


1. ผู้ที่เป็นมะเร็งผิวหนัง รวมถึงมีประวัติเคยเป็น เช่น squamous cell carcinoma, basal cell carcinoma และ melanoma เป็นต้น

2. ผู้ป่วยที่กำลังได้รับการรักษาด้วย chemotherapy และยา steroid

3. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบเลือดและเกร็ดเลือด เช่น โรคโลหิตจาง

4. ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อรุนแรง

5. ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคทางภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (Autoimmune) รวมถึงผู้ที่รับประทานวิตามินอี หรือสารที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัว

6. ผู้ป่วยเบาหวาน แผลหายช้า





การรักษาด้วย PRP ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45-60 นาที

ขั้นตอนในการรักษาด้วย PRP

ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45-60 นาที


1. การเตรียมใบหน้า

-ทำความสะอาดใบหน้า

-ทายาชา เพื่อลดความเจ็บของเข็มเวลาฉีด


2. การเตรียม PRP

ทำการเจาะเลือด

-เพื่อนำเลือดมาทำการสกัดผ่านโดยใช้เครื่อง Centrifuge

-เพื่อแยกส่วนที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นที่มี Growth Factors


3. นำ PRP ที่ได้ไปฉีดเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ

4. กลับบ้านได้เลย โดยไม่ต้องพักฟื้น






ดู 203 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page