top of page

จัดการ "ฝ้า" แบบจริงๆ จังๆ ได้ที่โมเดลล่า คลินิก

วันนี้ Modella Clinic ขอนำเสนอเทคโนโลยี PICO4Dx นวัตกรรมระเบิดเม็ดสีที่ Modella Clinic ไม่ว่าฝ้าจะเข้มแค่ไหนก็เอาอยู่

ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่แดดประเทศของเรานั้นก็ยังร้อนยืนหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแสงแดดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาฝ้าบนใบหน้าสวยๆ หล่อของคุณจนทำให้มีตำหนิ

ถ้าคุณกำลังมองหาตัวช่วยอยู่ วันนี้ Modella Clinic ขอนำเสนอเทคโนโลยี PICO4Dx นวัตกรรมระเบิดเม็ดสีที่ Modella Clinic ไม่ว่าฝ้าจะเข้มแค่ไหนก็เอาอยู่





"ฝ้า"(Melasma) เกิดจากอะไร?

"ฝ้า"(Melasma) เกิดจากอะไร?

ฝ้า เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่สร้างเม็ดสี สาเหตุหลักที่ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติ สร้างเม็ดสีที่มากจนเกินไป ส่วนใหญ่มาจากการได้รับรังสี UV เป็นเวลานาน เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากเกินไป เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากตามไปด้วย ทำให้เกิดเป็น "ฝ้า" ลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาลเข้มกว่าสีผิว บริเวณที่พบส่วนใหญ่ ใบหน้า หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว เหนือริมฝีปาก และบริเวณโหนกแก้ม ปัญหาฝ้าจะพบมากในผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า และผู้หญิงที่พบนั้นจะอยู่ในช่วงวัยกลางคน อายุประมาณ 30-40 ปี


สาเหตุหลักทำให้เกิดฝ้า

- แสงแดด รังสี UV ทำให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีมากขึ้น

- ฮอร์โมนที่เกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งทำให้ฮอร์โมนมีมากกว่าปกติ

- เครื่องสำอาง เครื่องสำอางที่ไม่ได้คุณภาพ กจะมีส่วนผสมของประรอท หรือสเตียรอยด์

- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวมีฝ้า โอกาศที่เราจะเป็นฝ้าก็มีตามไปด้วย

- การตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ที่มีการสร้างในปริมาณสูง

- แสงไฟต่างๆ เช่น จากจอคอมพิวเตอร์ หลอดไฟ โทรศัพท์มือถือ

- ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และการไม่ดูแลตัวเอง





มารู้จักฝ้า แต่ละชนิดกัน!

"ฝ้า" ที่ขึ้นบริเวณใบหน้า สามารถแบ่งประเภทได้ถึง 4 ชนิดหลักๆ ดังนี้

1. ฝ้าแดด เกิดจากรังสียูวีจากแสงแดด หลอดไฟ แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน ลักษณะเป็นสีน้ำตาลคล้ำ หรืออมเทาม่วง

2. ฝ้าเลือด รอยแดงคล้ายเส้นเลือด สีแดงปนน้ำตาล เกิดจากความผิดปกติของเลือดลมหรือฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ผิวแดงง่ายเมื่อโดนแสงแดดหรือความร้อน

3. ฝ้าตื้น เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า หรือผิวชั้นนอก มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม ขอบเขตชัดเจนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็รักษาได้ง่ายโดยใช้เวลารักษาไม่นาน

4. ฝ้าลึก เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ ผื่นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกมาก การรักษาจึงค่อนข้างยาก





การป้องกันการเกิด "ฝ้า"

การป้องกันการเกิด "ฝ้า"

- หลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด ควรใช้ร่มที่ป้องกันรังสียูวี สวมหมวก ใช้ผ้าคลุม เวลาต้องเผชิญกับเเสงแดด

- หลีกเลี่ยงยาที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฝ้า หรือกลุ่มยาเพิ่มฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด

- เครื่องสำอางบางชนิดอาจมีสารที่ทำให้เกิดฝ้า ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมและคุณสมบัติที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า

- ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF30+ PA++ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ โดยควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที

- ใช้ครีมทาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือครีมไวท์เทนนิ่ง เพื่อป้องกันผิวหน้ามีสีเข้มขึ้น

- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน หลีกเลี่ยงความเครียด ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว






วิธีการรักษาฝ้า

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาฝ้า ให้หายขาดได้ แม้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมด้านความงามจะสามารถช่วยเนรมิตความงามได้แทบทุกส่วนของร่างกาย แต่ปัญหาฝ้าก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อย่างไรก็ตามผลการรักษาที่ดีที่สุดนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวหน้าของแต่ละคน การดูแลตัวเองแบบจริงจังก็สามรถช่วยลดการเกิดฝ้าได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้เกิดฝ้า


เรามาดูกันดีกว่าค่ะ..ว่าการรักษาฝ้ามีวิธีไหนบ้าง ?


1. การทายา

รักษาฝ้าด้วยการทายาจะเห็นผลลัพธ์ดีกับฝ้าตื้น ซึ่งต้องใช้เวลาในการทายารักษา 2 เดือนขึ้นไป กลุ่มยาที่ใช้รักษาฝ้า ได้แก่

- ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอหรือเรตินอยด์(Topical Retinoids/Retinoic Acid)

- ไฮโดรควิโนน(Hydroxyquinone)

- กรดอะซีลาอิก(Azelaic Acid)

- กรดโคจิก(Kojic Acid)

- คอร์ติโคสเตียรอยด์(Corticosteroids)

- กรดไกลโคลิก(Glycolic Acid)

ซึ่งความเข้มข้นของสารในครีมทาฝ้าจะมีปริมาณแตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามไม่แนะนำซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจทำให้ผิวหน้าเกิดแสบ แดง หรือลอกเป็นขุยได้


2. การผลัดเซลล์ผิวหนัง

การใช้สารที่มีความเป็นกรดหรือพวกสารฟอกขาวไปช่วยเร่งให้ผิวเกิดการผลัดเซลล์ชั้นนอกคล้ายการใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น ผลข้างเคียงของวิธีนี้คืออาจเสี่ยงกับการทำให้สีผิวเข้มขึ้นเช่น กรดไกลโคลิก กรดซาลิซิลิก


3. การทำเลเซอร์

วิธีนี้ให้ผลค่อนข้างเร็วเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้รักษาฝ้าเมื่อการใช้ยาทาไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ประสิทธิภาพของการรักษาขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เลเซอร์จะช่วยปรับสภาพผิว เช่น Pico 4Dx ระบบเลเซอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Q-switch Laser ที่ยิงลงไปบริเวณฝ้าโดยตรง ไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีได้อย่างตรงจุด


4. การร้อยไหม

การร้อยไหมไม่ได้เป็นการรักษาฝ้าโดยตรง แต่ในขณะร้อยไหมและหลังจากการร้อยไหมจะเกิดการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวฟู ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้น ส่งผลให้เม็ดสีที่ผิดปกติใต้ผิวหนังจางลง ฝ้ากระจางลงได้





Pico 4Dx นวัตกรรมที่ถูกพัฒนามาจาก Q-switch

Pico 4Dx

เป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนามาจาก Q-switch โดยใช้ตัวกำเนิดเลเซอร์คือ Nd: YAG โดยปล่อยพลังงานเลเซอร์ออกมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในระดับ 1 ต่อล้านล้านวินาที

มีช่วงความยาวคลื่น 1064 , 755 และ 532 นาโนเมตร มีระยะเวลาที่พลังงานสัมผัสผิวน้อยกว่า 10 นาโนเมตร ซึ่งทำให้พลังงานเลเซอร์ที่กระทบผิวนั้นเป็นคลื่นกระแทกที่ไม่สะสมความร้อนบนผิว ส่งผลให้ความเจ็บจากเลเซอร์และความร้อนที่ได้รับลดน้อยลงอย่างมาก

เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

ไม่เจ็บและไม่ต้องพักฟื้น

ด้วยนวัตกรรมในการกำจัดเม็ดสีที่มีหลายความยาวคลื่นและหลักการ photoacoustic จึงหมดปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บ แถม ฝ้า กระ จางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

แต่ละความยาวคลื่นเหมาะกับปัญหาใดบ้าง ?

1064 เหมาะกับปัญหาฝ้าเข้ม กระลึก

755 เหมาะกับปัญหาฝ้าจาง กระตื้น

532 เหมาะกับปัญหากระตื้น






ขั้นตอนการรักษา

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

1. การรักษาเริ่มจากทายาชา(แล้วแต่กรณี) และสวมแว่นดำเพื่อป้องกันแสงจ้าที่เกิดจากเครื่อง

2. ผู้เชี่ยวชาญจะกำหนดพลังงานแสงให้ตรงกับปัญหาที่ต้องการรักษา หลังจากนั้นปล่อยคลื่นแสงที่มีพลังงานออกมาเป็นอนุภาคเล็กมาก ทำให้มีการทำลายเซลล์ผิวที่ผิดปกติพวกเม็ดสีเมลานินและทำให้แตกกระจายเป็นจุดเล็กมากจนตาเปล่ามองไม่เห็น จากนั้นเม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะทำการย่อยสลายเม็ดสีดังกล่าวด้วยวิธี Phagocytosis กลืนกินให้ย่อยสลายไป กระ ฝ้าก็จะค่อยๆจางลง และเซลล์ผิวดีที่อยู่รอบข้างจะช่วยซ่อมแซมให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ภายใน 24 ชั่วโมง






ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

การรักษาด้วย Pico4Dx ไม่จำเป็นต้องทายาชา เพราะขณะทำการรักษาผู้รับการรักษาจะรู้สึกคล้ายหนังยางดีดที่ผิวเบาๆ และไม่ร้อน


ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

การรักษาอาจใช้เวลาประมาณ 15-45 นาที ขึ้นอยู่กับลักษณะของฝ้า กระ และบริเวณที่ทำการรักษา


ต้องรับการรักษากี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

ส่วนใหญ่การรักษาขึ้นอยู่กับความเข้มของเม็ดสีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลชัดเจน สำหรับฝ้าลึกหลังทำการรักษา สีของกระจะเข้มกว่าเดิมประมาณ 2-4 สัปดาห์ แล้วค่อยๆ จางลง การยิงซ้ำครั้งที่ 2 จะทำหลังจาก 3-4 สัปดาห์ การทายาร่วมด้วยจะทำให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น


มีผลข้างเคียงจากการรักษาหรือไม่?

ผลข้างเคียงพบได้น้อย เช่น เเสบเล็กน้อยหลังทำ ผิวแดงระเรื่อบริเวณที่ทำ หรือมีอาการบวมเล็กน้อย โดยปกติอาการเหล่านี้สามารถหายได้เองในระยะเวลาอันสั้น สามารถใช้การประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการลงได้เช่นกัน






ข้อแตกต่างของ Pico4Dx and Q-Switch

Pico4Dx เป็นเทคโนโลยีในช่วงความยาวคลื่น 1064 755 และ 532 nm ใช้ตัวกำเนิดแสงเลเซอร์คือ Nd-YAG มีระยะเวลาที่พลังงานสัมผัสผิวน้อยกว่า 10 ns ซึ่งทำให้พลังงานที่กระทบผิวนั้นเป็นคลื่นกระเเทกที่ไม่สะสมความร้อนบนผิว ส่งผลให้ความเจ็บปวดจากเลเซอร์เเละความร้อนที่ได้รับลดน้อยลงอย่างมาก นอกจากนี้ช่วงความยาวคลื่น 755 nm(Q-Switch ไม่พบช่วงความยาวคลื่นนี้) ยังช่วยกำจัดเม็ดสีได้อย่างหลากหลายอีกด้วยซึ่งความยาวคลื่นในเเต่ละช่วงจะเหมาะกับฝ้าเเละกระที่มีลักษณะแตกต่างกัน คลื่นกระเเทกทำให้เม็ดสีที่ได้รับการกระเเทกแตกตัวได้ละเอียดมากกว่า ระยะเวลาในการรักษาเร็วขึ้นเนื่องจากความละเอียดของเม็ดสีทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมากำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยี Q-Switch

ทั้งนี้ Pico4Dx เป็น laser ชนิดที่เรียกว่า selective คือตัวสแกนจะจับเฉพาะเจาะจงไปยังผิวที่มีปัญหา ทำให้พลังงานที่ลงบนผิวตรงกับตำแหน่งที่ต้องการไม่กระทบต่อผิวหนังบริเวณอื่น ความรู้สึกเจ็บน้อยมากเเละไม่ร้อน ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น

เครื่อง Pico4Dx นำเข้าจากประเทศเยอรมนี มีความสเถียรของเลเซอร์สูง ได้รับการยอมรับทั่วโลกเรื่องคุณภาพและเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน

(เพิ่มงานวิจัย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/27546378https://www.liebertpub.com/doi/10.1089/photob.2019.4644 )






ข้อปฎิบัติตัวของการรักษาด้วยเลเซอร์

ก่อนการทำเลเซอร์

1.ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่โดนแดดจัด อย่างน้อย 2 สัปดาห์

2.ควรแจ้งโรคประจำตัว การแพ้ยาต่างๆให้ทราบก่อนทำการรักษา

3.ในวันที่นัดทำเลเซอร์ควรงดใช้เครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว หรือ สเปรย์ฉีดผม ณ บริเวณผิวหนังส่วนที่จะทำการเลเซอร์


หลังการทำเลเซอร์

1.กรณีมีแผล ไม่ควรให้แผลถูกน้ำภายใน 2 วันแรกหลังทำ แต่หากแผลถูกน้ำควรรีบซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด

2.ห้ามถู แกะ เกา หรือเล่นกีฬาที่อาจเกิดแรงปะทะหรือการเสียดสีบริเวณแผล 1 สัปดาห์หลังทำ

3.ควรทาครีมหรือยาตามคำสั่งแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ

4.ถ้าแผลเกิดเป็นผื่น บวม แดง มีตุ่มหนอง มีอาการปวด ให้กลับมาคลินิกทันที

5.ห้ามใช้ครีมที่มีส่วนผสมกรดผลัดเซลล์ผิว AHA BHA Vitamin A ในช่วง 2 สัปดาห์แรก








ดู 31 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page