top of page

ใบหน้ากระชับ... โดยไม่ต้องผ่าตัด

อัปเดตเมื่อ 18 มิ.ย. 2564

ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็คงไม่มีใครอยากมีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ไม่เรียบตึงกันทั้งนั้น



ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็คงไม่มีใครอยากมีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ไม่เรียบตึงกันทั้งนั้น

ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นอาจทำให้หลายคนขาดความมั่นใจได้ แบบที่เรียกว่าไม่เป็นทำอะไรพอดี

วันนี้ Modella Clinic จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจผิวหน้าในแต่ละช่วงวัยและปัญหาที่พบบ่อยในช่วงวัยน้น

พร้อมวิธีการรักษากำจัดปัญหาริ้วรอย ผิวหน้าไม่กระชับ บอกได้เลยว่า หมดกังวลหายห่วง พร้อมเผยผิวใหม่ที่กระชับสวยหล่อกว่าเดิมแน่นอน





มารู้จักโครงสร้างผิวหนังของเรากัน...

โครงสร้างของผิวหนัง (Structure of skin)

1.ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)

หนังกำพร้าเป็นชั้นนอกสุดของผิวหนัง มีความหนาประมาณ 0.05-0.7 มิลลิเมตร การแบ่งตัวและเจริญของชั้นหนังกำพร้าใช้ เวลา 2 สัปดาห์ และใช้เวลาลอกหลุดอีก 2 สัปดาห์ ทำให้ระยะเวลารวมของผิวหนัง ชั้นกำพร้าจากชั้นล่างสุดเจริญไปจนเป็นชั้นขี้ไคลแล้วลอกหลุดใช้เวลารวม 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นชั้นผิวที่อยู่ด้านบนสุดของระดับชั้นผิว ทำหน้าที่ช่วยปกป้องผิวหนังจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หากเซลล์ผิวเกิดการฝ่อลง ก็จะปรากฏริ้วรอยและ ความแห้งกร้าน

2.ชั้นหนังแท้ (Dermis)

ชั้นผิวที่มีความหนาที่สุดของระดับชั้นผิว มีความลึกประมาณ 1.5 มิลลิเมตร โดยจะประกอบด้วย เซลล์ที่สำคัญคือ fibroblasts ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างเส้นใยโปรตีน ที่สำคัญคือ collagen (80-85%) และ elastic fibers (2-4%) และสร้างสารเรียกว่า ground substance ซึ่งเป็นสารพวก polysaccharides ในชั้นหนังแท้มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยงจำนวนมาก รวมถึง เส้นขน (Hair follicle) ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ต่อมเหงื่อ และกล้ามเนื้อเรียบ (Arrector pili muscle)

3.ชั้นไขมัน (Hypodermis)

ชั้นผิวที่มีเซลล์ไขมันสะสมอยู่เฉพาะส่วน รวมทั้ง โปรตีนคอลลาเจน ลึกลงไปที่ประมาณ 3.0 มิลลิเมตร เป็นตัวกำหนดรูปลักษณ์ของความอ้วนและความผอมซึ่งจะมีหน้าที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกาย รองรับผิวหนังให้คงรูปและช่วยรับแรงกระแทกให้กับชั้นผิว

4.ชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS)

ชั้นผิวที่มีความลึกกว่าชั้นคอลลาเจน ลึกลงไปที่ประมาณ 4.5 มิลลิเมตร มีโครงสร้างเป็นเนื้อเยื่อพังผืดห่อหุ้มกล้ามเนื้อ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะปรากฏผิวหย่อนคล้อยที่เป็นไปตามแรงโน้มถ่วง เป็นปัจจัยหลักของการเกิดริ้วรอย ร่องลึก ความเหี่ยวย่นของผิว ซึ่งระดับผิวชั้นนี้จะมีความสำคัญต่อการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าให้ยกกระชับขึ้นได้

5.ชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า

ชั้นกล้ามเนื้ออยู่ระหว่างกระดูกโครงหน้าและชั้นของผิวหนัง มีอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนที่แสดงความรู้สึกทางสีหน้าและส่วนที่เกี่ยวกับการเคี้ยว





ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า

ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าไม่ว่าจะช่วงวัยไหน แม้เพียงจะเริ่มมีเล็กน้อยก็สร้างความกังวลและถือเป็นปัญหาหนักใจของหลาย ๆ คนได้ โดยริ้วรอยต่าง ๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยรุ่น ไปจนถึงวัยสูงอายุเลยทีเดียว ซึ่งปัญหาริ้วรอยในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง


ช่วงอายุ 20+

ปัญหาผิวจะเกิดบริเวณชั้นผิวหนังแท้ โดยคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ที่ทำให้ผิวหนังมีความเรียบตึง กระชับ และยืดหยุ่น เกิดการเสื่อมสลายไป มีการสร้างใหม่น้อยลง ผิวเริ่มมีริ้วรอยและเกิดความหย่อนคล้อย ผิวหน้าดูไม่สดใส


ช่วงอายุ 30+

ปัญหาในชั้นผิวหนังแท้เริ่มมีมากขึ้น เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินถูกทำลายมากประกอบกับผิวชั้นหนังกำพร้ามีการผลัดตัวช้าลง ทำให้ผิวดูหยาบกร้านมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มเห็นริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ชัดเจนขึ้น


ช่วงอายุ 40+

ชั้นผิวเริ่มอ่อนแอมากขึ้น ปัญหาผิวลงลึกถึงชั้นไขมันโดยมีการเสื่อมสลาย ไม่หนาแน่นเหมือนในวัยเด็ก ทำให้ผิวเกิดการยุบตัว นอกจากนี้เนื้อเยื่อพังผืดที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ ซึ่งทำหน้าที่โอบอุ้มผิวให้มีความกระชับได้รูป เริ่มเสื่อมสภาพทำให้การพยุงผิวลดลง รูปหน้าจึงเริ่มหย่อนคล้อย


ช่วงอายุ 50+

ปัญหาผิวลงลึกมากขึ้น ริ้วรอยยิ่งลึก ผิวหนังเริ่มบางลง รูปหน้าเริ่มเปลี่ยน เพราะมีการหย่อนคล้อยมาก โครงสร้างของใบหน้าอย่างกระดูกเกิดการยุบตัวลงตามธรรมชาติ ทำให้บางคนเกิดมีรูปหน้าไม่สมส่วน บางส่วนดูตอบ หรือดูบุ๋มลงไปได้





ปัจจัยที่ทำให้ผิวมีอายุ

ปัจจัยภายใน ได้แก่

- ผิวขาดน้ำ คือผิวที่ไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นใต้ผิวได้ จึงทำให้หน้าแห้งแต่มัน แต่งหน้าไม่ติด หยาบกร้าน ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื่นให้แก่ผิว

- ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ถูกผลิตน้อยลงหลังจากหมดประจำเดือน

- ระบบไหลเวียดเลือดไม่ดี ทำให้ออกซิเจนที่ล่อเลี้ยงใต้ผิวทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

- อายุที่มากขึ้นตามวัย การผลิตคอลลาเจนใต้ผิวที่ลดลง


ปัจจัยภายนอก ได้แก่

- พฤติกรรมส่วนตัว เช่น การดื่มเหล้าเบียร์ สูบบุหรี่มากเกินไป เป็นการทำร้ายผิวภายนอกที่มีผลกระทบต่อผิวและสุขภาพ

- ความเครียด ทำให้ฮอร์โมนไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ใบหน้าหมองคล้ำ โทรม ไม่สดใส ใบหน้าแก่

- มลภาวะสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น การโดนแดด แสงยูวี โดยปราศจากการทาครีมกันกันแดด

- การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการฟื้นฟู






เคล็ดลับช่วยย้อนวัยผิว

เคล็ดลับช่วยย้อนวัยผิว


อาหาร:

เน้นรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ ในกลุ่มผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่ไม่ควรทานหวานจัด เพราะจะทำให้เกิดสิวได้ง่าย ไม่ควรทานเค็มจัดเพราะจะทำให้ใบหน้าหมองคล้ำ และควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน


ออกกำลังกาย:

ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แนะนำให้ออกกำลังกายชนิดแอโรบิก เช่น วิ่ง การเดินเร็ว เป็นต้น ให้ได้อย่างน้อย 20 นาทีต่อครั้ง แต่ไม่ควรเกิน 40 นาที เพราะถ้าเกินกว่านั้นสารอนุมูลอิสระจะออกมาทำลายเซลล์ทำให้แก่เร็วขึ้น


เอนกาย:

ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เวลาที่แนะนำคือ ควรนอนตั้งแต่ก่อน 5 ทุ่ม ตื่นประมาณ 6 โมงเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด เพราะช่วงเวลา 5 ทุ่ม ถึง ตี 4 เป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่


อารมณ์:

ควรทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด ไม่เกิดริ้วรอยบนใบหน้า


อุจจาระ:

การขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรขับถ่ายให้เป็นประจำทุกวัน






การเลือกใช้เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

การเลือกใช้เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย


1. ปัญหาผิวระดับ 1 ในช่วงอายุ 20-30 ปี

ปัญหาผิวหย่อนคล้อยยังไม่ค่อยเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ เพราะในช่วงวัยนี้โครงสร้างกระดูกของหน้า และกล้ามเนื้อมีการขยายขนาดเต็มที่ ผิวหนังก็จะดูเต่งตึง อิ่มเอิบ แต่ด้วยลักษณะของผิวในแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทำให้บางคนมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือเหี่ยวย่นเกิดขึ้นได้ในวัยนี้ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น สิ่งแวดล้อม ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต อาหารที่รับประทาน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ใต้ผิวหนัง จึงเกิดสัญญาณปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อย ริ้วรอย ผิวไม่เปล่งปลั่ง จึงทำให้ผิวหน้าดูไม่สดใสสมวัย

เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่แนะนำ

- HIFU หรือ Ulthera

- Thermage

- Botox Lifting


2. ปัญหาผิวระดับ 2 ในช่วงอายุ 30-40 ปี

เป็นวัยทำงานอย่างเต็มตัว ในช่วงอายุ 30-40 ปีนี้ ผิวหนังชั้นนอกจะเริ่มหนาขึ้น และผิวหนังชั้นในจะเริ่มบางลง ทำให้เกิดปัญหาผิวตกกระ เริ่มมีริ้วรอยรอบดวงตา และตรงบริเวณด้านข้างของมุมปาก กล้ามเนื้อหน้าใต้ผิวหนังนิ่มไม่กระชับ ความยืดหยุ่นของผิวหนังเริ่มลดลง ในบางคนมีปัญหาหลุมสิวหรือรูขุมขนกว้างมากขึ้น

เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่แนะนำ

- HIFU หรือ Ulthera

- Thermage

- Botox Lifting

- Filler Lifting


3. ปัญหาผิวระดับ 3 ในช่วงอายุ 40 ขึ้นปี

เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนของฮอร์โมน ซึ่งเป็นผลจากการผลิตฮอร์โมนเพศที่ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพกระบวนการการทำงานของเซลล์ใต้ผิวหนังลดลง ทำให้มีการสังเคราะห์คอลลาเจน อีลาสติน และองค์ประกอบอื่น ๆ ของผิวลดลงด้วย เช่น การผลิตไขมันจากต่อมไขมันทั้งหมดนี้ นำไปสู่ผิวที่บางและเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวชัดเจน ผิวจะแห้งลงมาก การผลิตเกราะป้องกันผิวลดลง สูญเสียความหนาแน่นของชั้นผิว ผิวจึงค่อยๆเหี่ยวย่น หย่อนคล้อยไม่กระชับ สูญเสียความแข็งแรงความยืดหยุ่น

เทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่แนะนำ

- HIFU หรือ Ulthera

- Thermage

- Botox Lifting

- Filler Lifting

- ร้อยไหม






Microson HIFU มีดีอย่างไร?

Microson HIFU เน้นการยกกระชับ ปรับใบหน้าให้เรียวเข้ารูปได้ทรงสวย ริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้าตื้นขึ้น และกระตุ้นคอลลาเจนเพิ่มขึ้น

Comfort Dual เน้นการลดเลือนริ้วรอย และการเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว ให้ความรู้สึกผิวที่กระชับมากขึ้น


การเตรียมตัวก่อนการรักษา

1. เตรียมผิวให้พร้อม

- หลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดดก่อนเข้ารับการรักษา

- ควรงดเว้นการเลเซอร์ อย่างน้อย 3-5 วัน

2. งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงงดรับประทานยากลุ่มแอสไพริน วิตามินต่าง ๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

3. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมทั้งดื่มน้ำให้เพียงพอ

4. เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม ด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


การดูแลตัวเองหลังการรักษา

1. หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์

2. ใช้ครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันที่สูง โดยสามารถทาครีมบำรุงผิวทุกชนิดได้ตามปกติ

3. ถ้ามีอาการปวดหรือเมื่อยตึงที่ผิว สามารถใช้ยาแก้ปวดทั่ว ๆ ไปได้

4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2 สัปดาห์แรก

5. ไม่ควรขัด นวด หรือถูใบหน้าอย่างรุนแรง


ผลที่ได้หลังการรักษา

1. รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทันทีหลังรักษา ใบหน้ายกกระชับขึ้น ริ้วรอยลดน้อยลง กรอบหน้าชัดขึ้น เหนียงลดลง

2. ผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นผลเต็มที่ 100% ในระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน

3. ผลการยกกระชับใบหน้า อยู่ได้นาน 6-12 เดือน หรือ 1-2 ปี ทั้งนี้ผลการรักษาขึ้นกับสภาพผิวของคนไข้


ผลข้างเคียงของการรักษา

ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ที่ร้ายแรง ไม่มีบาดแผล มีความปลอดภัยสูง หลังทำสามารถแต่งหน้า ล้างหน้าได้ตามปกติ






ให้หัตถการเก่งๆ ช่วย...ดีที่สุด

Botox Lifting เน้นยกกรอบหน้าให้เด่นชัดมากขึ้น ลดริ้วรอยแห่งวัยทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก คิ้ว หางตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4 เดือน - 1 ปี

Filler Lifting เติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ขมับ ใต้ตา คาง หรือเติมผิวให้ดูเต่งตึงมากขึ้น เช่น แก้มส้ม ริมฝีปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน - 2 ปี

ร้อยไหม เน้นยกกระชับผิวหย่อนคล้อย แก้ปัญหาใบหน้าไม่เท่ากันหรืออยากปรับโครงหน้า และยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ไหมที่ใช้ยกกระชับใบหน้าอยู่ได้นาน 1-2 ปี/ ไหมที่เน้นกระตุ้นคอลลาเจนอยู่ได้นาน 6 เดือน


การเตรียมตัวก่อนการรักษา

1. เตรียมผิวให้พร้อม

2. งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงงดรับประทานยากลุ่มแอสไพริน วิตามินต่างๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

3. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมทั้งดื่มน้ำให้เพียงพอ

4. เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม ด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


การดูแลตนเองหลังฉีดโบท็อก

ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อหากฉีดบริเวณกล้ามเนื้อเคี้ยว เป็นเวลา 30 นาที โดยการเคี้ยวหมากฝรั่ง หรือกัดฟันเพื่อให้โบท็อกที่ถูกฉีดเข้าไปถูกเซลล์ประสาทดูดซึมเข้าไปให้มากที่สุด ไม่ควรประคบเย็นระหว่างการบริหารกล้ามเนื้อกรามหลังฉีดโบหน้าเรียว เพราะจะขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าสู่เซลล์ประสาท แต่ให้ประคบได้หลังจากการบริหารกล้ามเนื้อ หากมีอาการปวดบวม

หลังฉีดโบท็อกไม่ควรนอนราบ หรือนอนตะแคงเป็นเวลา 4 ชั่วโมง เพราะจะทำให้โบท็อกกระจายตัวไปยังจุดอื่น ๆ

ไม่ควรจับ บีบ นวด หรือทำทรีทเมนต์ผิวหน้า หรือบริเวณที่ฉีดโบหน้าเรียว เป็นเวลา 1 เดือน

ควรหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด และกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง โดยเฉพาะในช่วง 2 อาทิตย์แรกเช่น เข้าซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด และเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF thermage เป็นต้น

งดอาหารบางชนิดหลังฉีดโบหน้าเรียว

หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ

อาหารที่เผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง

อาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง

งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้โบท็อกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น


การดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์

1. ใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันแรก ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ๆ หรือตากแดดร้อน ๆ เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงบริเวณที่เติมฟิลเลอร์

2. ไม่ควรจับ ลูบคลำ นวด คลึง ในบริเวณนั้น เพราะอาจมีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของตัวยาไปยังตำแหน่งอื่นได้

3. ควรดื่มน้ำในปริมาณที่มากโดยเฉพาะ 4 วันแรก หลังเติมฟิลเลอร์ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ การดื่มน้ำนั้นจะช่วยทำให้การเติมเต็มอยู่ได้นานขึ้น เพราะฉะนั้นต้องดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้ว หรือปริมาณ 2 ลิตรต่อวัน

4. งดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออก เช่น แอสไพริน Vitamin E, ใบแป๊ะก๊วย หลีกเลี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ BHA,AHA และ Retinoid 2 สัปดาห์ภายใน 2 สัปดาห์แรก

5. ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นบริเวณที่เติม งดเข้าอบไอน้ำ อบซาวน่า ทำเลเซอร์ ทำ RF หรือ Ionto เพราะความร้อนเฉพาะจุดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อฟิลเลอร์ได้ใน 2 สัปดาห์แรก

6. ใน 2 วันหลังเติมฟิลเลอร์ ต้องหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอร์ การสูบบุหรี่, การดูด การจูบ (กรณีที่ฉีดที่ริมฝีปาก)


การดูแลตนเองหลังร้อยไหม

1.ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากร้อยไหม ควรรับประทานยาแก้อักเสบ หรือยาฆ่าเชื้อ เพื่อช่วยให้บรรเทาอาการบวมแดงและลดการอักเสบติดเชื้อของแผล

2.หากมีอาการบวมมาก ประคบเย็นลดอาการบวม ทุก ๆ 4 ชั่วโมง ร่วมกับการรับประทานยาลดบวม

3.ไม่ถูหน้า หรือล้างหน้าแรง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นไหมเคลื่อนตัวหรือบิดเบี้ยว

4.งดกิจกรรมเสริมความงามเกี่ยวกับผิวหน้า เช่น ทรีทเม้นท์ เลเซอร์ นวดหน้า ขัดผิวต่าง ๆ รวมถึงการอบไอน้ำ อบซาวน่า และการทำศัลยกรรมประเภทอื่น ๆ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก เพราะอาจทำให้แผลเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ

5.หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการกดทับแผลบริเวณที่ทำการร้อยไหม ควรนอนหงายแทนการนอนคว่ำและการนอนตะแคงก่อนในช่วงเดือนแรก

6.งดอาหารแสลง และตัวยาบางชนิด ได้แก่ อาหารทะเล ของหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกลุ่มยาแอสไพริน วิตามินอี น้ำมันสกัดบางชนิด ซึ่งมีสรรพคุณทำให้เลือดหยุดไหลช้า และทำให้เกิดแผลฟกช้ำได้ง่าย









ดู 37 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page